เลขที่ 2 ซ.ประดิพัทธ์ 15​ ​ถนนประประดิพัทธ์ พญาไท กรุงเทพฯ 10400 เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 19.00 น. 098-9824658 / LINE @Medtopia

Chelation

Chelation (สูตรล้างพิษโลหะหนัก)

โลหะหนักมาจากไหน ?

หลังจากโลกเราผ่านเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมและการทำเหมืองแร่ โลหะหนักมากมายแพร่กระจาย ปนเปื้อนไปทั่วทั้งโลก ไม่รวมโลหะหนักที่มนุษย์จงใจนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อใช้ประโยชน์ ทำให้เราได้รับโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ทั้งจากเครื่องสำอางที่มีสีต่างๆ ยาย้อมผม สีทาเล็บ สีทาบ้าน สารเคมี ยาฆ่าแมลง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องครัว เครื่องประดับ น้ำประปา ฝุ่น PM2.5 ในอากาศ อาหารโดยเฉพาะอาหารทะเล พืชผัก ต่างๆ หรือแม้กระทั่งใน ยา วัคซีน ก็สามารถมีโลหะหนักปนเปื้อนได้

ร่างกายมนุษย์ไม่เคยรู้จักกับโลหะหนักมาก่อนตั้งแต่ยุคหิน ทำให้พันธุกรรมของเราไม่มีระบบจัดการ ป้องกัน หรือขับโลหะหนักเหล่านี้ออก เมื่อได้รับโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายก็มักจะติดอยู่ในร่างกายเราไปจนวันตาย ซึ่งโลหะหนักเหล่านี้จะไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ เร่งให้เกิดการเสื่อมถอยของเซลล์โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือกระตุ้มให้เกิดโรคเรื้อรัง โรคทางภูมิคุ้มกัน และมะเร็งได้ (ยกเว้นแต่จะได้รับโลหะหนักในปริมาณสูงเฉียบพลันก็อาจมีอาการให้เห็นชัดเจน)

ในสมัยสงครามโลกมีการนำโลหะหนักมาทำเป็นอาวุธมากมาย ประเทศต่างๆจึงได้คิดค้นสารที่จะนำมาบ้างพิษโลหะหนักเพื่อช่วยทหารและประชาชนของตน การล้างพิษด้วยสารล้างพิษโลหะหนักต่างๆนั้นเรียกว่าการทำ Chelation นั่นเอง โดยสารแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการจับโลหะหนักแตกต่างกัน หากเราเลือกสารล้างพิษมาไม่ตรงกับโลหะหนักที่เรามีในร่างกาย ก็ไม่สามารถช่วยล้างพิษได้ ดังนั้นการตรวจดูชนิดโลหะหนักที่สะสมในร่างกายเราก่อนการเลือกสารล้างพิษจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด โลหะหนักที่สะสมในร่างกายมักจะสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อของเรา ไม่ได้อยู่ในเลือดหรือปัสสาวะ การตรวจระดับโลหะหนักที่แนะนำจึงเป็นวิธีการตรวจในเนื้อเยื่อ คือการตรวจด้วยเครื่อง OligoScan เป็นการส่องแสงลงบนบริเวณฝ่ามือ สามารถบอกระดับของโลหะหนัก 14 ชนิด และระดับแร่ธาตุได้อีกกว่า 20 ชนิด

นอกจากนี้การทำ Chelation ยังช่วยดึงแร่ธาตุส่วนเกินออกได้ด้วย เช่น ธาตุเหล็กเกิน แคลเซียมเกาะสะสม จึงสามารถช่วยลดการแข็งตัวของหลอดเลือด เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ในการวิจัยที่สหรัฐอเมริกาพบกว่าการให้ Chelation ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดและเบาหวาน สามารถลดโอกาสการเกิดหัวใจขาดเลือดซ้ำได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

ผลข้างเคียงจากการทำ Chelation
1. เนื่องจากการขับโลหะหนักออกจากร่างกายจำเป็นต้องทิ้งผ่านไต หากผู้ที่มีค่าไตสูงหรือไตอ่อนแออยู่เดิม อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้นได้ จึงควรตรวจการทำงานของไตเป็นระยะๆภายใต้การดูแลของแพทย์ระหว่างทำ Chelation เสมอ และดื่มน้ำแร่มากๆอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวันเพื่อช่วยเพิ่มการขับออกของสารพิษทางปัสสาวะให้ดีขึ้น
2. การขับโลหะหนักออกต้องอาศัยการทำงานของอวัยวะหลายชนิด ทำให้ร่างกายทำงานหนักมากขึ้นในช่วง 1-2 วันหลังได้รับ Chelation แม้จะพบได้น้อย แต่บางคนก็อาจมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หรือรู้สึกเหมือนเป็นไข้ได้เล็กน้อย หากมีอาการควรดื่มน้ำแร่ วิตามิน/แร่ธาตุเสริม และนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
3. Chelation สามารถดึงแร่ธาตุส่วนเกินบางชนิดออกได้ แต่หากแร่ธาตุถูกดึงออกมากเกินไปจะทำให้เกิดการขาดเกลือแร่ได้ หลังทำ Chelation จึงควรดื่มน้ำแร่ และแร่ธาตุเสริม เช่น สังกะสี แมกนีเซียม ซีลีเนียม เป็นต้น
4. ในผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน การทำ Chelation สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ หากรู้สึกเหมือนน้ำตาลตกหลังทำ Chelation สามารถอมลูกอม หรือกินผลไม้เล็กน้อยเพื่อคงระดับน้ำตาลในเลือดได้

Our Section